ทำไม ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ต้องตรวจเช็คเป็นประจำ? คู่มือครบจบสำหรับผู้บริหารอาคาร

ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Smart Fire Alarm

คู่มือ Fire Alarm ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้  สำหรับบ้านและอาคาร

เปลวเพลิงที่ลุกโชนในโรงงานแห่งหนึ่งไม่ได้เผาผลาญแค่ตัวอาคารและทรัพย์สิน แต่ยังเผาทำลายความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของพนักงานทุกคน เหตุการณ์น่าสลดใจนี้อาจไม่เกิดขึ้นหาก ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (fire alarm system) ที่ติดตั้งไว้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่น่าเสียดายที่ระบบกลับเงียบสนิทในนาทีวิกฤต เพราะขาดการ ตรวจเช็คและซ่อมบำรุง (preventive maintenance) ที่เหมาะสม

เรื่องราวนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ไกลตัว แต่เป็นอุทาหรณ์ที่ย้ำเตือนผู้บริหารอาคารทุกคนว่า การมี ระบบ fire alarm เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การดูแลให้ระบบพร้อมใช้งานอยู่เสมอคือหัวใจสำคัญของความปลอดภัยอย่างแท้จริง บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าทำไมการตรวจเช็คระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้จึงเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ และจะเริ่มต้นดูแลความปลอดภัยของอาคารคุณได้อย่างไร

ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Smart Fire Alarm

ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Smart Fire Alarm คืออะไร? ยกระดับความปลอดภัยสู่ยุคดิจิทัล

MA (Maintenance Agreement) คือ “สัญญาบำรุงรักษาระยะยาว” ที่ลูกค้าทำกับบริษัทเพื่อให้ทีมช่างเข้ามาตรวจเช็คระบบเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นระบบกันขโมย, ระบบกล้อง, ระบบ Fire Alarm หรือระบบ Automation

ในยุคที่ทุกสิ่งเชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต (IoT) ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้อัจฉริยะ (smart fire alarm) ได้เข้ามาปฏิวัติวงการความปลอดภัย ด้วยการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เหนือกว่าระบบทั่วไป

ความแตกต่างระหว่าง ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Smart Fire Alarm และระบบทั่วไป

คุณสมบัติ Smart Fire Alarm ระบบ Fire Alarm ทั่วไป
การแจ้งเตือน แจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ, อีเมล, SMS แบบเรียลไทม์ แจ้งเตือนด้วยเสียงที่ตัวอาคารเท่านั้น
การระบุตำแหน่ง ระบุตำแหน่งที่เกิดเหตุได้อย่างแม่นยำ (รายอุปกรณ์) พร้อมแสดงบนแผนที่ดิจิทัล ระบุได้เพียงโซนหรือชั้นที่เกิดเหตุ
การเชื่อมต่อ เชื่อมต่อกับระบบ IoT อื่นๆ เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV), ระบบควบคุมอาคาร, ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ทำงานแยกส่วน ไม่เชื่อมต่อกับระบบอื่น
การตรวจสอบ ตรวจสอบสถานะการทำงานของอุปกรณ์ได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอป ต้องตรวจสอบที่ตู้ควบคุมเท่านั้น
การบำรุงรักษา แจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่ออุปกรณ์ถึงเวลาต้องบำรุงรักษา หรือตรวจพบความผิดปกติ ต้องจัดทำแผนการตรวจเช็คเองและจดบันทึกด้วยตนเอง
AI และการวิเคราะห์ มี AI ช่วยวิเคราะห์ลดการแจ้งเตือนผิดพลาด (False Alarm) ไม่มีระบบวิเคราะห์ อาจมีการแจ้งเตือนผิดพลาดบ่อย
ราคาเริ่มต้น 80,000-300,000 บาท (ขึ้นกับขนาดอาคาร) 40,000-150,000 บาท
ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Smart Fire Alarm

Smart Fire Alarm ไม่ใช่แค่ ระบบตรวจจับควันอัจฉริยะ (smart smoke detector system) แต่เป็นโซลูชันความปลอดภัยครบวงจรที่ช่วยให้คุณตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ลองจินตนาการว่าหากเกิดเหตุควันไฟในโซนที่ไม่มีคนอยู่ในเวลา 2 ทุ่ม ระบบจะส่งสัญญาณเตือนมาที่มือถือของคุณทันที พร้อมทั้งสั่งการให้กล้องวงจรปิดในบริเวณนั้นจับภาพเหตุการณ์และส่งมาให้คุณดูได้แบบเรียลไทม์ นี่คือศักยภาพของ smart fire alarm ที่จะช่วยลดความสูญเสียได้อย่างมหาศาล

ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Fire Alarm System ทำงานอย่างไร?

หัวใจของ fire alarm system คือการตรวจจับและแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ให้เร็วที่สุด โดยมีส่วนประกอบหลักทำงานร่วมกันดังนี้

  1. อุปกรณ์เริ่มสัญญาณ (Initiating Devices): ทำหน้าที่ตรวจจับสภาวะที่บ่งชี้ถึงการเกิดเพลิงไหม้
  • อุปกรณ์ตรวจจับควัน (Smoke Detector):** ตรวจจับอนุภาคควันในอากาศด้วยเทคโนโลยี Photoelectric หรือ Ionization มีอายุการใช้งาน 8-10 ปี
  • อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน (Heat Detector):** 
  • อุปกรณ์ตรวจจับความร้อน (Heat Detector) มี 2 ประเภทหลักๆ ซึ่งแต่ละประเภทมีเกณฑ์อุณหภูมิในการทำงานแตกต่างกันไป เพื่อให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่ติดตั้งค่ะ

    • ชนิดจับอุณหภูมิคงที่ (Fixed Temperature): อุปกรณ์ชนิดนี้จะทำงานเมื่ออุณหภูมิโดยรอบสูงถึงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เหมาะสำหรับพื้นที่ที่อุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงช้าๆ โดยทั่วไปจะมีช่วงอุณหภูมิให้เลือกหลากหลาย เช่น

      • 57-60°C (ประมาณ 135°F): เป็นค่ามาตรฐานที่นิยมใช้ในพื้นที่ทั่วไป เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือโถงทางเดิน

      • 90°C (ประมาณ 194°F): เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เช่น ห้องครัว ห้องเครื่อง หรือห้องซักรีด ที่อาจมีความร้อนจากการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ

    • ชนิดจับอัตราการเพิ่มของอุณหภูมิ (Rate-of-Rise): อุปกรณ์ชนิดนี้จะทำงานเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ของการเกิดเพลิงไหม้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้อุณหภูมิถึงจุดที่ตั้งไว้

      • มาตรฐานทั่วไป: จะทำงานเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นประมาณ 8.3°C – 10°C ต่อนาที (ประมาณ 15°F ต่อนาที)

    • ชนิดผสม (Combination): เป็นชนิดที่รวมคุณสมบัติทั้งสองอย่างไว้ในตัวเดียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการตรวจจับ

  • อุปกรณ์แจ้งเหตุด้วยมือ (Manual Call Point / Manual Station):** 

    การติดตั้ง Manual Call Point ต้องอยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนและเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้สามารถใช้งานได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยมีมาตรฐานการติดตั้งดังนี้ (อ้างอิงตามมาตรฐาน วสท. และ NFPA)

    • ความสูงในการติดตั้ง: ควรติดตั้งให้สูงจากระดับพื้น ระหว่าง 1.20 – 1.50 เมตร ซึ่งเป็นระดับที่คนส่วนใหญ่สามารถเอื้อมถึงได้สะดวก

    • ตำแหน่งการติดตั้ง:

      • ควรติดตั้งไว้ใกล้กับ ทางออกฉุกเฉิน หรือ ประตูทางหนีไฟ ของทุกชั้น

      • ในพื้นที่เปิดโล่ง ควรมีระยะห่างระหว่างจุดติดตั้งแต่ละจุด ไม่เกิน 30 เมตร เพื่อให้สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วจากทุกตำแหน่ง

  1. ตู้ควบคุม (Fire Alarm Control Panel): เปรียบเสมือนสมองของระบบ ทำหน้าที่รับสัญญาณจากอุปกรณ์เริ่มสัญญาณมาประมวลผล และสั่งการไปยังอุปกรณ์แจ้งสัญญาณ มีแบตเตอรี่สำรองที่สามารถทำงานได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมงเมื่อไฟฟ้าดับ
  2. อุปกรณ์แจ้งสัญญาณ (Notification Appliances): ทำหน้าที่ส่งสัญญาณเตือนให้ผู้อยู่ในอาคารรับรู้
  • กระดิ่งหรือไซเรน (Bell/Siren):** 

    เพื่อให้การแจ้งเตือนมีประสิทธิภาพและได้ยินอย่างทั่วถึง จะมีมาตรฐานกำหนดระดับความดังของเสียงไว้ดังนี้ค่ะ (อ้างอิงตามมาตรฐาน NFPA 72 และมาตรฐานของ วสท.)

    • ระดับเสียงดังทั่วไป: ในพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ส่วนกลาง จะต้องมีระดับความดังของเสียงไม่น้อยกว่า 65 เดซิเบล (dBA) และไม่เกิน 120 เดซิเบล (dBA) เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อการได้ยิน

    • ความดังเทียบกับเสียงรบกวน: ระดับเสียงของสัญญาณเตือนต้องดังกว่าระดับเสียงรบกวนตามปกติในบริเวณนั้น (Ambient Sound Level) อย่างน้อย 15 เดซิเบล (dBA)

    • พื้นที่สำหรับนอนหลับ: ในพื้นที่ที่ใช้สำหรับนอนหลับพักผ่อน เช่น ห้องพักในโรงแรม หรือห้องนอนในคอนโดมิเนียม จะมีข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้น โดยต้องมีระดับความดังไม่น้อยกว่า 75 เดซิเบล (dBA) เมื่อวัดที่ข้างเตียงนอน

  • ไฟสัญญาณ (Strobe Light):** ส่งสัญญาณแสงสำหรับผู้ที่บกพร่องทางการได้ยิน

เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ อุปกรณ์ fire alarm เช่น Smoke Detector จะตรวจจับควันภายใน 30-60 วินาที และส่งสัญญาณไปยังตู้ควบคุม ตู้ควบคุมจะประมวลผลภายใน 2-5 วินาที และสั่งให้กระดิ่งทั่วทั้งอาคารดังขึ้น เพื่อให้ทุกคนอพยพออกจากพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที ระบบที่มีประสิทธิภาพสามารถลดเวลาตอบสนองจาก 10-15 นาที เหลือเพียง 2-3 นาที

ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Fire Alarm แบบ Addressable กับ Conventional ต่างกันอย่างไร?

Fire alarm system แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Conventional และ Addressable ซึ่งมีความแตกต่างในการระบุตำแหน่งที่เกิดเหตุและราคา

  • ระบบ Conventional:** เป็นระบบพื้นฐานที่แบ่งพื้นที่การตรวจจับออกเป็นโซน (Zone) โดยทั่วไปแต่ละโซนครอบคลุมพื้นที่ 1,000-2,000 ตารางเมตร เมื่อเกิดเหตุ ระบบจะแจ้งเตือนได้เพียงว่าเหตุเกิดในโซนไหน แต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ที่ตรวจจับได้ เหมาะสำหรับอาคารขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่ซับซ้อน (ต่ำกว่า 3,000 ตารางเมตร) ราคาเริ่มต้น 40,000-80,000 บาท
  • ระบบ Addressable: เป็นระบบที่ทันสมัยกว่า โดยอุปกรณ์ตรวจจับแต่ละตัวจะมี ที่อยู่” (Address) เป็นของตัวเอง ระบบสามารถรองรับได้ถึง 200-250 อุปกรณ์ต่อ 1 Loop ทำให้เมื่อเกิดเหตุ ตู้ควบคุมสามารถระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ที่ตรวจจับได้อย่างแม่นยำ (เช่น “Smoke Detector #127 ชั้น 5 ห้อง 502″) ช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าไประงับเหตุได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เหมาะสำหรับอาคารขนาดใหญ่และซับซ้อน เช่น fire alarm สำหรับโรงงาน หรือ fire alarm สำหรับอาคารสำนักงาน** ราคาเริ่มต้น 80,000-200,000 บาท

Maxwell แนะนำให้ใช้ระบบ Addressable สำหรับอาคารที่มีพื้นที่มากกว่า 3,000 ตารางเมตร หรืออาคารที่มีความซับซ้อนสูง เพราะความแม่นยำในการระบุตำแหน่งจะช่วยลดเวลาในการระงับเหตุได้ถึง 60-70%


ทำไมต้องตรวจเช็ค ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Fire Alarm เป็นประจำ?

การ ติดตั้ง ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ fire alarm เป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัย แต่การลงทุนนั้นจะสูญเปล่าหากระบบไม่ทำงานเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน การตรวจเช็คและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • เพื่อความพร้อมใช้งาน 100%: ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษาจะไม่ทำงานเมื่อเกิดเหตุจริง การตรวจเช็คช่วยให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทุกชิ้น ตั้งแต่เซ็นเซอร์ไปจนถึงตู้ควบคุมและแบตเตอรี่สำรอง อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา
  • เพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย:** ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และกฎกระทรวงฉบับที่ 33 กำหนดให้อาคารหลายประเภท (อาคารสูง, โรงแรม, โรงพยาบาล, โรงงาน) ต้องมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้เป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง การละเลยอาจนำไปสู่ค่าปรับที่ หรือการไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ
  • เพื่อความแม่นยำในการตรวจจับ:** ฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกที่สะสมบนเซ็นเซอร์อาจทำให้ประสิทธิภาพในการตรวจจับลดลงถึง 50% หรืออาจทำให้เกิดการแจ้งเตือนผิดพลาด (False Alarm) ซึ่งสร้างความรำคาญและทำให้ผู้คนเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนจริง การทำความสะอาดและทดสอบเป็นประจำจะช่วยให้ระบบยังคงความไวและความแม่นยำไว้ได้
  • เพื่อลดความเสียหาย:** ระบบที่ทำงานเต็มประสิทธิภาพจะช่วยแจ้งเตือนได้เร็วขึ้น 3-5 นาที ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองที่สามารถลดความเสียหายได้ถึง 70-80% ตามข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ความเสียหายจากอัคคีภัยในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการตรวจจับล่าช้า
  • เพื่อความอุ่นใจ:** การรู้ว่าอาคารของคุณมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ สร้างความอุ่นใจให้กับทั้งผู้บริหารและผู้อยู่อาศัยทุกคน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์และลดค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยได้ 10-20%

กรณีศึกษา: โรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง

MAXWELL เคยให้บริการตรวจเช็ค ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ให้กับโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง พบว่า 35% ของ Smoke Detector ไม่ทำงานเนื่องจากฝุ่นสะสม และแบตเตอรี่สำรองในตู้ควบคุมหมดอายุการใช้งาน หากเกิดเหตุเพลิงไหม้ในช่วงที่ไฟฟ้าดับ ระบบจะไม่สามารถแจ้งเตือนได้เลย หลังจากที่ MAXWELL เข้าทำการบำรุงรักษาและอัพเกรดเป็น Smart Fire Alarm ระบบสามารถตรวจจับและแจ้งเตือนได้เร็วขึ้น 75% และลดการแจ้งเตือนผิดพลาดลง 90%

ต้องการให้ทีมผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คระบบของคุณหรือไม่? [นัดสำรวจหน้างานฟรี](https://www.maxwell.co.th/pm-service/)


ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Fire Alarm ต้องตรวจเช็คบ่อยแค่ไหน?

ตามมาตรฐานสากล NFPA 72 (National Fire Alarm and Signaling Code) แนะนำให้มีการตรวจสอบและทดสอบระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้โดยผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ความถี่ในการตรวจเช็คอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของอาคาร สภาพแวดล้อม และข้อกำหนดของกฎหมายในแต่ละพื้นที่

ประเภทอาคาร ความถี่ที่แนะนำ เหตุผล
อาคารสำนักงานทั่วไป 1-2 ครั้ง/ปี สภาพแวดล้อมสะอาด มีฝุ่นน้อย
โรงงานอุตสาหกรรม 3-4 ครั้ง/ปี มีฝุ่น ควัน และสารเคมี อาจทำให้เซ็นเซอร์สกปรกเร็ว
โรงแรม / คอนโดมิเนียม 2 ครั้ง/ปี มีผู้พักอาศัยจำนวนมาก ต้องการความปลอดภัยสูง
โรงพยาบาล 4 ครั้ง/ปี ผู้ป่วยไม่สามารถอพยพได้เอง ต้องการความน่าเชื่อถือสูงสุด
ห้างสรรพสินค้า 2-3 ครั้ง/ปี มีผู้คนจำนวนมาก และมีสินค้าไวไฟ
โรงเรียน / มหาวิทยาลัย 2 ครั้ง/ปี มีนักเรียน/นักศึกษาจำนวนมาก

นอกจากการตรวจเช็คโดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว ควรมีการทดสอบเบื้องต้นโดยเจ้าหน้าที่ของอาคารเองเดือนละ 1 ครั้ง ได้แก่:

  • ตรวจสอบไฟแสดงสถานะที่ตู้ควบคุม
  • ทดสอบกดปุ่ม Manual Call Point
  • ตรวจสอบเสียงกระดิ่ง/ไซเรน

ขั้นตอนการตรวจเช็ค ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Fire Alarm ของ Maxwell

ในฐานะ บริษัทติดตั้ง ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ชั้นนำที่มีประสบการณ์กว่า 15 ปี Maxwell มีกระบวนการตรวจเช็คและบำรุงรักษา (PM Service) ที่เป็นระบบและได้มาตรฐานสากล NFPA 72 เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าระบบของท่านจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมความพร้อม (1-2 วัน)

ทีมงานจะประสานงานกับลูกค้าเพื่อ:

  • กำหนดวันและเวลาเข้าบริการ (PM Schedule) ที่เหมาะสมและไม่รบกวนการทำงาน
  • ศึกษาข้อมูลระบบและแผนผังอาคาร
  • เตรียมเอกสารเช็กลิสต์ (PM Checklist) สำหรับอุปกรณ์ทั้งหมดในระบบ
  • เตรียมอุปกรณ์ทดสอบและอะไหล่ที่อาจจำเป็น

ขั้นตอนที่ 2: การตรวจสอบภาคสนาม (1-3 วัน ขึ้นอยู่กับขนาดอาคาร)

วิศวกรผู้เชี่ยวชาญจะทำการทดสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นอย่างละเอียด:

การทดสอบอุปกรณ์ตรวจจับ:

  • จำลองสถานการณ์ควันเพื่อทดสอบ Smoke Detector ทุกตัว
  • ทดสอบ Heat Detector ด้วยเครื่องเป่าความร้อน
  • ทดสอบ Smoke Beam Detector ด้วยการบังแสง
  • ทำความสะอาดเซ็นเซอร์และตรวจสอบอายุการใช้งาน

การทดสอบอุปกรณ์แจ้งเหตุ:

  • ทดสอบ Manual Call Point ทุกจุด
  • วัดความดังของเสียง Alarm Bell/Siren (ต้องไม่ต่ำกว่า 75 dB)
  • ทดสอบ Strobe Light

การทดสอบตู้ควบคุม:

  • ตรวจสอบการทำงานของ Control Panel
  • ทดสอบแบตเตอรี่สำรอง (ต้องสามารถทำงานได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง)
  • ตรวจสอบการเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ (ถ้ามี)
  • ตรวจสอบ Log และประวัติการทำงาน

การทดสอบระบบไฟฟ้า:

  • ตรวจสอบสายไฟและจุดต่อทั้งหมด
  • วัดค่าความต้านทานและกระแสไฟรั่ว
  • ตรวจสอบ Fuse และ Circuit Breaker

ขั้นตอนที่ 3: การจัดทำรายงาน (1-2 วัน)

หลังการตรวจสอบ ทีมงานจะจัดทำรายงานสรุปผลการตรวจเช็คโดยละเอียด ประกอบด้วย:

  • รายงานสถานะของอุปกรณ์แต่ละชิ้น (พร้อมภาพถ่าย)
  • ผลการทดสอบทุกรายการ
  • รายการอุปกรณ์ที่ต้องเปลี่ยนหรือซ่อมแซม (ถ้ามี)
  • ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงระบบ
  • กำหนดการตรวจเช็คครั้งถัดไป

ขั้นตอนที่ 4: การติดตามผล

MAXWELL มีบริการติดตามผลหลังการตรวจเช็ค:

– แจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงกำหนดตรวจเช็คครั้งถัดไป

– บริการ Hotline 24/7 สำหรับการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน (โทร 02-374-4060)

– ระบบ Smart Fire Alarm สามารถแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อตรวจพบความผิดปกติ

การ ติดตั้ง fire alarm หรือการตรวจเช็คระบบกับ MAXWELL ใช้เวลาไม่นาน แต่ให้ความปลอดภัยที่ยั่งยืน

ทำไมต้องเลือก MAXWELL Fire Alarm?

การเลือกผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ MAXWELL คือคำตอบสำหรับความปลอดภัยในอาคารของคุณ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:

✓ ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ

เรามีทีมงานวิศวกรที่ผ่านการอบรมและได้รับใบรับรองจากสถาบันชั้นนำ มีประสบการณ์ในการดูแล ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ fire alarm system ทุกรูปแบบมากกว่า 15 ปี ดูแลระบบได้มากกว่า 2,000 อาคารทั่วประเทศ

✓ บริการทั่วประเทศ

ไม่ว่าอาคารของคุณจะอยู่ที่ไหน MAXWELL มีทีมติดตั้งและบริการทั่วประเทศ ครอบคลุม 77 จังหวัด พร้อมให้บริการภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังแจ้งความต้องการ

✓ เทคโนโลยีล้ำสมัย

เรานำเสนอ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้อัจฉริยะ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี AI ตรวจจับ ช่วยวิเคราะห์และลดความผิดพลาดในการแจ้งเตือน (False Alarm) ได้ถึง 85-90% ระบบสามารถเรียนรู้รูปแบบการใช้งานของอาคารและปรับความไวของเซ็นเซอร์อัตโนมัติ

✓ ความไว้วางใจจากลูกค้าชั้นนำ

Maxwell ติดตั้ง ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ fire alarm ให้ลูกค้ากลุ่มไหนบ้าง?

  • โรงเรียนนานาชาติชั้นนำในกรุงเทพฯ (มากกว่า 15 แห่ง)
  • ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
  • บริษัทผู้นำด้านเครื่องดื่มและอาหารระดับโลก
  • คอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงานชั้นนำ (มากกว่า 200 โครงการ)
  • โรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ

✓ การรับประกันที่มั่นใจได้

ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Fire alarm ของ Maxwell รับประกัน คุณภาพทั้งอุปกรณ์และการติดตั้ง:

  • รับประกันอุปกรณ์ 2-5 ปี (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ)
  • รับประกันการติดตั้ง 1 ปี
  • บริการบำรุงรักษาฟรี 1 ครั้งหลังติดตั้ง (ภายใน 6 เดือน)

✓ รางวัลและการรับรอง

  • Most Innovative Companies to Watch 2025 จาก The CEO Views
  • Best Smart Home Security Solutions Company 2024 Thailand จาก Corporate Vision Security Awards (UK)
  • ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015
  • เป็นสมาชิกสมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งประเทศไทย

พร้อมปกป้องอาคารของคุณด้วยระบบที่ทันสมัยและทีมงานมืออาชีพแล้วหรือยัง? [ติดต่อ Maxwell วันนี้](https://www.maxwell.co.th/pm-service/)

ติดตั้ง ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Fire Alarm ราคาเท่าไหร่? คุ้มค่าหรือไม่?

คำถามที่ว่า ติดตั้ง fire alarm ราคาเท่าไหร่ นั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะราคาจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา

  1. ขนาดและความซับซ้อนของอาคาร: อาคารที่มีพื้นที่มากและมีหลายชั้นจะต้องใช้อุปกรณ์มากขึ้น
  2. ประเภทของระบบ: Conventional ถูกกว่า Addressable ประมาณ 30-40%
  3. จำนวนของอุปกรณ์ fire alarm: Smoke Detector, Heat Detector, Manual Station, Bell ฯลฯ
  4. ยี่ห้อและคุณภาพของอุปกรณ์: แบรนด์ชั้นนำจากยุโรปหรืออเมริกาจะมีราคาสูงกว่าแบรนด์จากเอเชีย
  5. ความต้องการพิเศษ: เช่น การเชื่อมต่อกับระบบอื่น, การติดตั้งในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก

ตารางราคาโดยประมาณ

ประเภทอาคาร พื้นที่ ประเภทระบบ ราคาโดยประมาณ
บ้านเดี่ยว / ทาวน์เฮ้าส์ 100-300 ตร.ม. Conventional 40,000-80,000 บาท
อาคารสำนักงานขนาดเล็ก 500-1,000 ตร.ม. Conventional 80,000-150,000 บาท
อาคารสำนักงานขนาดกลาง 1,000-3,000 ตร.ม. Addressable 150,000-300,000 บาท
อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ 3,000-10,000 ตร.ม. Addressable + Smart 300,000-1,000,000 บาท
โรงงานอุตสาหกรรม 2,000-10,000 ตร.ม. Addressable + Smart 400,000-1,500,000 บาท
โรงแรม / คอนโดมิเนียม 5,000-20,000 ตร.ม. Addressable + Smart 800,000-3,000,000 บาท

*ราคารวมอุปกรณ์และค่าติดตั้ง ไม่รวม VAT 7%

ความคุ้มค่าของ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Smart Fire Alarm

แม้ว่า ระบบ fire alarm ราคาถูก แบบ Conventional อาจดูน่าสนใจในตอนแรก แต่การลงทุนกับระบบที่มีคุณภาพและทันสมัยอย่าง Smart Fire Alarm จะให้ความคุ้มค่าในระยะยาวมากกว่า

การเปรียบเทียบต้นทุน 10 ปี:

ตารางราคาโดยประมาณ

รายการ Conventional Smart Fire Alarm ความแตกต่าง
ต้นทุนติดตั้งเริ่มต้น 150,000 บาท 250,000 บาท +66%
ค่าบำรุงรักษา/ปี 15,000 บาท 12,000 บาท -20%
ค่าบำรุงรักษา 10 ปี 150,000 บาท 120,000 บาท -20%
ต้นทุนรวม 10 ปี 300,000 บาท 370,000 บาท +23%
ต้นทุนสุทธิ 10 ปี 300,000 บาท 320,000 บาท +7%

จะเห็นได้ว่าต้นทุนที่แตกต่างกันเพียง 7% แต่ได้ประโยชน์มากกว่า:

  • ความแม่นยำสูงกว่า 80%
  • ลดเวลาตอบสนองเหตุฉุกเฉิน 60-70%
  • ลดการแจ้งเตือนผิดพลาด 85-90%
  • สามารถตรวจสอบระยะไกลได้
  • เชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ได้

การลงทุนกับความปลอดภัยคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะความเสียหายจากอัคคีภัยครั้งเดียวอาจสูงกว่าค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษาระบบหลายสิบเท่า ตามข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ความเสียหายเฉลี่ยต่อครั้งจากอัคคีภัยในอาคารพาณิชย์อยู่ที่ 2-5 ล้านบาท

 

อยากติดตั้งหรือตรวจเช็ค ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ Fire Alarm ต้องเริ่มยังไง?

การเริ่มต้นดูแลความปลอดภัยในอาคารของคุณไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป Maxwell มีขั้นตอนที่ง่ายและสะดวก

ขั้นตอนที่ 1: ติดต่อ MAXWELL

คุณสามารถติดต่อเราได้หลายช่องทาง:

โทรศัพท์: 02-374-4060 (จันทร์-ศุกร์ 8:30-17:30 น.)
มือถือ: 085-485-3501 (24/7 สำหรับเหตุฉุกเฉิน)
เว็บไซต์: www.maxwell.co.th/pm-service
อีเมล: info@maxwell.co.th
สำนักงาน: กรุงเทพมหานคร (มีสาขาทั่วประเทศ)

ขั้นตอนที่ 2: นัดสำรวจหน้างาน (ฟรี!)

MAXWELL มีบริการ นัดสำรวจสถานที่ฟรี! โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทีมวิศวกรจะเข้าไปประเมิน:

  • ขนาดและลักษณะของอาคาร
  • ความเสี่ยงและจุดที่ต้องการความคุ้มครองพิเศษ
  • ระบบเดิมที่มีอยู่ (ถ้ามี)
  • ความต้องการและงบประมาณของลูกค้า

ขั้นตอนที่ 3: รับข้อเสนอและออกแบบระบบ

ภายใน 3-5 วันทำการ เราจะจัดทำและส่งมอบ:

  • ใบเสนอราคาที่ละเอียดและโปร่งใส
  • แผนผังการติดตั้งอุปกรณ์
  • รายละเอียดของระบบและอุปกรณ์
  • ระยะเวลาในการติดตั้ง/บริการ
  • เงื่อนไขการรับประกัน

ขั้นตอนที่ 4: ดำเนินการติดตั้ง/ตรวจเช็ค

หลังจากลูกค้าอนุมัติ เราจะ:

  • กำหนดวันเริ่มงานที่เหมาะสม
  • ดำเนินการติดตั้งหรือตรวจเช็คตามแผนที่กำหนด
  • ทดสอบระบบให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างสมบูรณ์
  • อบรมการใช้งานให้กับเจ้าหน้าที่

ขั้นตอนที่ 5: ส่งมอบและติดตามผล

  • ส่งมอบเอกสารประกอบระบบ (คู่มือ, ใบรับประกัน, รายงานการทดสอบ)
  • บริการหลังการขาย 24/7
  • แจ้งเตือนกำหนดการตรวจเช็คครั้งถัดไป

ข้อมูลที่ควรเตรียมก่อนติดต่อ

เพื่อให้เราสามารถให้คำแนะนำที่ตรงกับความต้องการของคุณ กรุณาเตรียมข้อมูลดังนี้:

  • พื้นที่ของอาคาร (ตารางเมตร)
  • จำนวนชั้นและจำนวนห้อง
  • ประเภทของอาคาร (สำนักงาน, โรงงาน, โรงแรม ฯลฯ)
  • ระบบเดิมที่มีอยู่ (ถ้ามี) – ยี่ห้อและรุ่น
  • แผนผังอาคาร (ถ้ามี)
  • งบประมาณโดยประมาณ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: สัญญาณเตือนเพลิง (Fire Alarm) มีกี่ประเภท? A: โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Conventional Fire Alarm และ Addressable Fire Alarm ซึ่งต่างกันที่วิธีการตรวจจับและการระบุตำแหน่งเพลิงไหม้

Q2: ควรตรวจสอบและบำรุงรักษา Fire Alarm บ่อยแค่ไหน? A: ควรตรวจสอบระบบอย่างน้อยเดือนละครั้ง และทำการทดสอบใหญ่ปีละ 1–2 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำงานได้จริง

Q3: ต่างกันอย่างไรระหว่าง Smoke Detector และ Heat Detector? A: Smoke Detector ตรวจจับควัน ส่วน Heat Detector ตรวจจับอุณหภูมิที่สูงผิดปกติ มักใช้ร่วมกันเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

Q4: Fire Alarm จำเป็นสำหรับบ้านพักอาศัยหรือไม่? A: จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบ้านที่มีหลายชั้นหรือมีผู้สูงอายุและเด็ก เพราะช่วยแจ้งเตือนล่วงหน้าและเพิ่มโอกาสอพยพได้ทันเวลา

Q5: หาก Fire Alarm ดังขึ้น ควรทำอย่างไร? A: ควรอพยพออกจากอาคารทันทีตามเส้นทางหนีไฟ และหากเป็นการแจ้งเตือนผิดพลาด ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบระบบ

อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เริ่มต้นปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของคุณตั้งแต่วันนี้
ต้องการให้ทีมผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คระบบของคุณหรือไม่? [นัดสำรวจหน้างานฟรี](https://www.maxwell.co.th/pm-service/)
โทร. 02-374-4060

ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ (fire alarm system) เป็นปราการด่านสำคัญที่ปกป้องอาคารของคุณจากอัคคีภัย แต่ปราการนี้จะแข็งแกร่งได้ก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น การตรวจเช็คและบำรุงรักษาเป็นประจำคือการลงทุนที่จำเป็นเพื่อรับประกันว่าระบบจะพร้อมทำงานในวินาทีที่คุณต้องการมันมากที่สุด

จากข้อมูลที่นำเสนอ คุณจะเห็นได้ว่า:

  • ระบบที่ไม่ได้รับการบำรุงรักษามีโอกาส 30-40% ที่จะไม่ทำงานเมื่อเกิดเหตุ
  • การตรวจเช็คเป็นประจำช่วยลดความเสียหายจากอัคคีภัยได้ 70-80%
  • Smart Fire Alarm ให้ความคุ้มค่าในระยะยาวและมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบทั่วไปมาก
  • การปฏิบัติตามกฎหมายช่วยหลีกเลี่ยงค่าปรับและปัญหาทางกฎหมาย

อย่าปล่อยให้ความลังเลหรือการผัดวันประกันพรุ่งมาสร้างความเสี่ยงให้กับชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่าของคุณ Maxwell พร้อมเป็นพันธมิตรด้านความปลอดภัยที่คุณไว้วางใจได้ ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีล้ำสมัย และการบริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

ติดต่อ MAXWELL วันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาและบริการตรวจเช็คระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้โดยทีมงานมืออาชีพ เพราะความปลอดภัย…รอไม่ได้

กรอกฟอร์มนัดสำรวจหน้างานฟรี https://www.maxwell.co.th/pm-service/)
โทร: 02-374-4060
มือถือ: 085-485-3501

เกี่ยวกับ MAXWELL Security System

MAXWELL Security System เป็นผู้นำด้านระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรในประเทศไทย มีประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการให้บริการติดตั้ง บำรุงรักษา และอัพเกรดระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ระบบกล้องวงจรปิด และระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ให้กับลูกค้ากว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ ด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีล้ำสมัย และการบริการที่เป็นเลิศ MAXWELL ได้รับการยอมรับในระดับสากล ด้วยรางวัล “Best Smart Home Security Solutions Company 2024 Thailand” และ “Most Innovative Companies to Watch 2025”

แหล่งอ้างอิง
• National Fire Protection Association (NFPA). (2024). Smoke Alarms in US Home Fires. https://www.nfpa.org/education-and-research/research/nfpa-research/fire-statistical-reports/smoke-alarms-in-us-home-fires
• Fire Service Pro. NFPA 72 Fire Alarm Inspections, Tests and Maintenance. https://www.fireservicepro.com/Fire-Alarms/NFPA-72-fire-alarm-tests-inspections.html
• Safesiri. กฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้.
https://www.safesiri.com/laws-and-standards-for-fire-alarm-systems/
• AlarmGrid. (2017). At What Temperature Do Heat Alarms Trigger?.
https://www.alarmgrid.com/faq/at-what-temperature-do-heat-alarms-trigger
• LGM Products. The Ultimate Guide to Manual Call Points.
https://lgmproducts.com/resources/the-ultimate-guide-to-manual-call-point/
• Entirely Safe. (2025). NFPA fire alarm sound level.
https://entirelysafe.com/article/nfpa-fire-alarm-sound-levels