ซ้อมหนีไฟ แบบเดิมยังเวิร์กไหม? ทำไมหลายที่กลายเป็นแค่พิธีไร้ความหมาย

fire-drill-guide

ซ้อมหนีไฟ เป็นกิจกรรมที่ทุกองค์กร โรงงาน หรืออาคารสูงจัดเป็นประจำปี แต่คำถามคือ… “ซ้อมแล้วได้ผลจริงหรือแค่ทำตามหน้าที่?”

หลายคนมองว่าการซ้อมหนีไฟกลายเป็นแค่ พิธีกรรมซ้ำซาก ที่ไม่สะท้อนสถานการณ์จริง และเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมา ความตื่นตระหนกกลับมีมากกว่าความพร้อม

บทความนี้จะพาไปดูว่า ปัญหาของการ ซ้อมหนีไฟ แบบเดิมอยู่ตรงไหน และจะปรับปรุงยังไงให้ “ซ้อมแล้วช่วยชีวิตได้จริง”

ทำไมหลายคนมองว่า “การ ซ้อมหนีไฟ ไร้สาระ”?

  • ไม่มีความสมจริง: ทุกคนรู้ว่าเป็นแค่การซ้อม → ไม่ตื่นตัว ไม่จริงจัง
  • ซ้อมแบบเดิมทุกปี: รูปแบบไม่เปลี่ยน ไม่มีการประเมินหรือวัดผล
  • ไม่มีการสื่อสารที่ชัดเจน: ผู้ร่วมซ้อมไม่รู้บทบาทหรือหน้าที่ตนเอง
  • ไม่มีการประเมินหลังซ้อม: ไม่รู้ว่าซ้อมดีหรือไม่ดี → ไม่มีบทเรียน

สิ่งเหล่านี้ทำให้ ซ้อมหนีไฟ กลายเป็น “กิจกรรมที่ทุกคนพยายามเลี่ยง” มากกว่าจะเป็นโอกาสฝึกความพร้อม

ซ้อมหนีไฟที่ดี ควรเป็นอย่างไร?

การซ้อมหนีไฟที่มีประสิทธิภาพควรมีองค์ประกอบดังนี้:

  1. จำลองสถานการณ์ให้สมจริงที่สุด: เช่น มีควัน มีอุปกรณ์จริง มีเสียงเตือนแบบไม่แจ้งล่วงหน้า
  2. กำหนดบทบาทของแต่ละคนให้ชัดเจน: ใครเป็นผู้แจ้งเหตุ ใครดูแลผู้ป่วย ใครนำทีมอพยพ
  3. มีการเก็บเวลาและประเมินผล: ออกจากอาคารเร็วไหม? มีคนหลงทางไหม?
  4. สื่อสารก่อน-หลังการซ้อมอย่างเป็นระบบ: ให้ทุกคนเข้าใจ “ทำไมต้องซ้อม” ไม่ใช่ “แค่ต้องทำให้ครบ”

ทำไมควรผสานระบบ Smart Fire Alarm เข้ากับการซ้อมหนีไฟ?

การมีระบบ Smart Fire Alarm ที่แจ้งเตือนผ่านแอป + แสดงภาพจากกล้องจริง ช่วยให้การฝึกซ้อมมี มิติของข้อมูลจริง เช่น:

  • ตรวจสอบ “จุดเริ่มต้น” ของไฟจำลอง
  • ดูพฤติกรรมของผู้ซ้อมผ่านกล้อง
  • แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ได้แบบ Real-time แม้ไม่อยู่ในพื้นที่

หากเกิดเหตุจริง ระบบก็พร้อมใช้งานทันที ซึ่งถือว่าเป็น “บทเรียนจริง” ที่ต่อเนื่องจากการซ้อม

ตัวอย่างสถานการณ์จริงที่ “ซ้อมไม่ช่วยอะไร”

กรณีในโรงงานแห่งหนึ่ง ผู้ร่วมซ้อมไม่รู้ว่าต้องปิดระบบไฟฟ้า เมื่อเกิดเหตุจริงในปีถัดมา ไม่มีใครปิดเบรกเกอร์เพราะไม่เคยถูกฝึกให้ทำ ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรตรงไหนบ้าง

ส่งผลให้ไฟลุกลามจากเครื่องจักรเข้าสู่ระบบไฟหลัก — เสียหายหลักล้าน

→ ถ้าซ้อมไม่สะท้อนสถานการณ์จริง = เสียเวลาทั้งองค์กร

สรุป: ถึงเวลาปรับวิธี “ซ้อมหนีไฟ” ให้ได้ผลจริง

วิธีเดิม วิธีใหม่ (แนะนำ)
แจ้งล่วงหน้าว่าจะซ้อม ไม่แจ้งล่วงหน้าเพื่อให้สมจริง (แจ้งเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง)
เดินเล่นลงบันได ซ้อมตามขั้นตอนจริง + มีคนควบคุม
ไม่มีระบบเสริม ใช้ Smart Fire Alarm ช่วยตรวจสอบและแจ้งเตือน
ไม่มีการประเมิน มีการสรุปผลพร้อมข้อเสนอแนะ

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการซ้อมหนีไฟ

1. ซ้อมหนีไฟมีกี่ประเภท?

โดยทั่วไป การซ้อมหนีไฟสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก:

  • ซ้อมแจ้งเหตุ (Table-top Drill): ฝึกเฉพาะกระบวนการแจ้งเหตุ การติดต่อเจ้าหน้าที่ และการตัดสินใจของผู้บริหาร
  • ซ้อมอพยพจริง (Full Drill): ฝึกการอพยพคนทั้งอาคาร การใช้อุปกรณ์ดับเพลิง และการประสานงานหน้างาน
2. ทำไมต้องซ้อมหนีไฟปีละ 1 ครั้ง?

การซ้อมหนีไฟอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เป็นข้อกำหนดของกฎหมายความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน เพื่อให้:

  • ผู้ใช้อาคารเกิดความคุ้นเคยกับเส้นทางหนีไฟ
  • ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ เช่น ไฟฉุกเฉิน ถังดับเพลิง ระบบแจ้งเตือน
  • ประเมินการทำงานของทีมความปลอดภัยภายใน

การซ้อมสม่ำเสมอช่วยลดความตื่นตระหนกเมื่อเกิดเหตุจริง

3. ถ้าอาคารใช้ Smart Fire Alarm ต้องซ้อมอยู่ไหม?

แม้ว่าอาคารจะติดตั้ง Smart Fire Alarm แล้ว ก็ยังควรจัดการซ้อมหนีไฟอย่างน้อยปีละครั้ง เนื่องจาก:

  • ระบบแจ้งเตือนช่วยให้รู้เร็ว แต่ไม่ช่วยให้คน “อพยพได้ถูกต้อง”
  • การซ้อมช่วยให้บุคลากรฝึกการตอบสนองและสื่อสารในสถานการณ์จริง
  • การใช้ Smart Fire Alarm ควบคู่กับการซ้อม จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือ
4. ตรวจสอบระบบแจ้งเตือนไฟไหม้ต้องทำยังไง?

การตรวจสอบระบบแจ้งเตือนไฟไหม้ (Fire Alarm System) ควรทำเป็นประจำ โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้:

  • ทดสอบเสียงแจ้งเตือนจากทุกจุด
  • ตรวจสอบการทำงานของเซ็นเซอร์ควัน / ความร้อน
  • ตรวจสอบแผงควบคุม (Control Panel) ว่าไม่มี Error หรือ Battery Low
  • หากใช้ระบบ Smart Fire Alarm ต้องตรวจสอบการแจ้งเตือนผ่านแอปด้วย
  • แนะนำให้ใช้ บริการตรวจเช็คระบบแจ้งเหตุไฟไหม้ จากผู้เชี่ยวชาญปีละ 1-2 ครั้ง

คำถามทิ้งท้าย

แล้วคุณล่ะ เคยเจอ การซ้อมหนีไฟ ที่รู้สึกว่า “ไร้สาระสุด ๆ” หรือเปล่า?

ลองแชร์ประสบการณ์หรือข้อเสนอแนะของคุณในคอมเมนต์ หรือส่งต่อให้เพื่อนร่วมงานได้อ่านกันครับ