ตรวจสอบระบบกันขโมย หลังติดตั้งมาแล้ว 10 ปี ยังใช้งานได้ดีรึป่าวนะ?
เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะสามารถทำหน้าที่ป้องกันภัยได้อย่างแท้จริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่ามีอะไรบ้างที่คุณต้องเช็คระบบกันขโมยหลังติดตั้ง เพื่อความอุ่นใจและปลอดภัยสูงสุดของคุณค่ะ

สิ่งที่ต้องตรวจสอบระบบกันขโมย
1. การทำงานของเซ็นเซอร์
เซ็นเซอร์ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบกันขโมย เพราะเป็นด่านแรกในการตรวจจับความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการบุกรุกผ่านประตู หน้าต่าง หรือการเคลื่อนไหวภายในพื้นที่ ดังนั้น หลังการติดตั้ง คุณควรตรวจสอบการทำงานของเซ็นเซอร์แต่ละตัวอย่างละเอียด:
•เซ็นเซอร์ประตู/หน้าต่าง: ลองเปิดและปิดประตูหรือหน้าต่างทุกบานที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ เพื่อดูว่าระบบมีการตอบสนองและแจ้งเตือนตามปกติหรือไม่ ควรตรวจสอบทั้งสถานะการเปิด-ปิด และการส่งสัญญาณไปยังแผงควบคุม
•เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion Sensor): เดินผ่านบริเวณที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เพื่อให้แน่ใจว่าเซ็นเซอร์สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวได้จริงและส่งสัญญาณเตือนไปยังระบบ หากเป็นเซ็นเซอร์ที่สามารถปรับความไวได้ ควรทดสอบในระดับความไวที่แตกต่างกันเพื่อหาจุดที่เหมาะสมที่สุด
•เซ็นเซอร์อื่นๆ (เช่น เซ็นเซอร์จับควัน, เซ็นเซอร์น้ำท่วม): หากระบบของคุณมีเซ็นเซอร์ประเภทอื่นๆ เช่น เซ็นเซอร์จับควันหรือเซ็นเซอร์น้ำท่วม ควรทดสอบการทำงานตามคู่มือของผู้ผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์เหล่านี้พร้อมทำงานเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
2. การทำงานของไซเรน
ไซเรนส่งเสียงแจ้งเตือน เป็นอุปกรณ์สำคัญในการแจ้งเตือนผู้บุกรุกและดึงดูดความสนใจจากคนภายนอก ดังนั้น การตรวจสอบว่าอุปกรณ์เหล่านี้ทำงานได้อย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น:
•ไซเรน: ทดสอบการทำงานของไซเรนว่าส่งเสียงดังชัดเจนและมีความดังเพียงพอที่จะได้ยินจากภายนอกหรือไม่ บางระบบอาจมีไซเรนทั้งภายในและภายนอกอาคาร ควรทดสอบทั้งสองส่วน
•ไฟเตือน (Strobe Light): ตรวจสอบว่าไฟเตือนกะพริบเมื่อระบบถูกกระตุ้น เพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัยที่มองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน

3. การเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุม/แอปพลิเคชัน
ระบบกันขโมยสมัยใหม่มักมีการเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมหรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เพื่อให้คุณสามารถควบคุมและตรวจสอบสถานะระบบได้จากระยะไกล การตรวจสอบการเชื่อมต่อจึงเป็นสิ่งสำคัญ:
•การแจ้งเตือน: ทดสอบว่าเมื่อระบบถูกกระตุ้น คุณได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน, SMS, หรืออีเมลตามที่ตั้งค่าไว้หรือไม่ และการแจ้งเตือนนั้นรวดเร็วและถูกต้อง
•การควบคุมระยะไกล: ลองเปิด-ปิดระบบ (Arm/Disarm) ผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อให้แน่ใจว่าคำสั่งถูกส่งไปถึงระบบและระบบตอบสนองอย่างถูกต้อง
•การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต/เครือข่าย: ตรวจสอบความเสถียรของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเครือข่ายที่ระบบใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารระหว่างระบบกับศูนย์ควบคุมหรือแอปพลิเคชันเป็นไปอย่างราบรื่น
4. แบตเตอรี่สำรอง
แบตเตอรี่สำรองมีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีที่ไฟฟ้าดับ ช่วยจ่ายไฟให้ระบบกันขโมยยังคงทำงานได้ต่อเนื่องเพื่อปกป้องบ้านของคุณ:
•สถานะแบตเตอรี่: ตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่สำรองบนแผงควบคุมหรือผ่านแอปพลิเคชัน หากมีข้อความแจ้งเตือนแบตเตอรี่ต่ำ ควรแจ้งช่างผู้ติดตั้งเพื่อตรวจสอบหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่
ตัวอย่างวิธีการเปลี่ยนแบตเตอรี่อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหวรุ่น Wireless Piccolo PIR/Pet PIR
•การทดสอบการทำงานเมื่อไฟฟ้าดับ: หากเป็นไปได้ ลองจำลองสถานการณ์ไฟฟ้าดับ (โดยการปิดเบรกเกอร์เฉพาะส่วนของระบบกันขโมย หรือปรึกษาช่างผู้ติดตั้ง) เพื่อดูว่าระบบยังคงทำงานได้ตามปกติหรือไม่ และแบตเตอรี่สำรองสามารถจ่ายไฟได้นานเท่าที่ระบุไว้ในคู่มือหรือไม่

5. การตั้งค่าระบบ (รหัสผ่าน, โหมดการทำงาน)
การตั้งค่าระบบที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย:
•รหัสผ่าน: ตรวจสอบว่ารหัสผ่านสำหรับเปิด-ปิดระบบและรหัสผ่านสำหรับเข้าถึงการตั้งค่าต่างๆ ได้รับการตั้งค่าอย่างถูกต้องและปลอดภัย ควรเปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้นที่มาจากโรงงานทันทีหลังการติดตั้ง
•โหมดการทำงาน: ทำความเข้าใจและทดสอบโหมดการทำงานต่างๆ ของระบบ เช่น โหมดอยู่บ้าน (Stay/Home Mode) ที่เปิดใช้งานเฉพาะเซ็นเซอร์ภายนอกหรือบางส่วนของบ้าน และโหมดออกนอกบ้าน (Away Mode) ที่เปิดใช้งานเซ็นเซอร์ทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถใช้งานโหมดเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องตามสถานการณ์
6. การทดสอบระบบโดยรวม
หลังจากตรวจสอบแต่ละส่วนประกอบแล้ว การทดสอบระบบโดยรวมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น:
•การจำลองสถานการณ์: ลองจำลองสถานการณ์การบุกรุก เช่น เปิดประตูหรือหน้าต่างที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ในขณะที่ระบบถูกเปิดใช้งาน (Armed) เพื่อดูว่าระบบตอบสนองอย่างไร มีการแจ้งเตือนทันทีหรือไม่ ไซเรนดังหรือไม่ และคุณได้รับการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ หรือไม่
•การทดสอบเป็นประจำ: กำหนดตารางเวลาในการทดสอบระบบเป็นประจำ เช่น เดือนละครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
ตารางแนะนำการตรวจสอบระบบกันขโมยประจำปี
รายการที่ต้องตรวจสอบ | ความถี่ในการตรวจสอบ | รายละเอียดการตรวจสอบ |
การทดสอบระบบโดยรวม | รายเดือน | เปิดใช้งานระบบและจำลองสถานการณ์การบุกรุก (เช่น เปิดประตู/หน้าต่าง) เพื่อตรวจสอบว่าไซเรนดัง, ไฟเตือนทำงาน, และได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน/SMS |
การทำงานของเซ็นเซอร์ | รายเดือน | ตรวจสอบเซ็นเซอร์ประตู/หน้าต่างทุกบาน, เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว, และเซ็นเซอร์อื่นๆ (ถ้ามี) ว่าทำงานปกติ ไม่มีสิ่งกีดขวาง |
สถานะแบตเตอรี่ | รายเดือน | ตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ของแผงควบคุมและอุปกรณ์ไร้สาย (ถ้ามี) ผ่านแผงควบคุมหรือแอปพลิเคชัน หากแบตเตอรี่อ่อนให้เปลี่ยนทันที |
การเชื่อมต่อเครือข่าย/อินเทอร์เน็ต | รายเดือน | ตรวจสอบความเสถียรของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ระบบใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น |
ทำความสะอาดอุปกรณ์ | ทุก 3-6 เดือน | ปัดฝุ่นและทำความสะอาดเซ็นเซอร์, กล้องวงจรปิด (ถ้ามี), และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกอุดตัน |
ตรวจสอบสายไฟและอุปกรณ์ | ทุก 6 เดือน | ตรวจสอบสายไฟและอุปกรณ์ต่างๆ ว่าไม่มีการชำรุดเสียหาย หรือมีสัตว์กัดแทะ |
การอัปเดตซอฟต์แวร์/เฟิร์มแวร์ | ทุก 6 เดือน | ตรวจสอบและดำเนินการอัปเดตซอฟต์แวร์หรือเฟิร์มแวร์ของระบบและแอปพลิเคชันให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด |
การตรวจสอบโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ | รายปี | ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบอย่างละเอียด รวมถึงการปรับจูนระบบและเปลี่ยนแบตเตอรี่หลัก (ถ้าจำเป็น) |

คำถามที่พบบ่อย (Q&A) เกี่ยวกับการตรวจสอบระบบกันขโมย
Q: ระบบกันขโมยแบบไร้สายต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยแค่ไหน?
A: โดยทั่วไปแล้ว แบตเตอรี่ของเซ็นเซอร์ไร้สายจะมีอายุการใช้งานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นและการใช้งาน อย่างไรก็ตาม ระบบส่วนใหญ่จะมีฟังก์ชันแจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรี่อ่อน เพื่อให้คุณสามารถเปลี่ยนได้ทันท่วงที
Q: ถ้าไฟฟ้าดับ ระบบกันขโมยยังทำงานอยู่ไหม?
A: ระบบกันขโมยส่วนใหญ่จะมีแบตเตอรี่สำรองที่ช่วยให้ระบบยังคงทำงานได้ตามปกติเมื่อไฟฟ้าดับ โดยทั่วไปจะสามารถทำงานได้ต่อเนื่องประมาณ 6-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่และจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ
Q: ควรให้ช่างมาตรวจสอบระบบกันขโมยบ่อยแค่ไหน?
A: เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดและยืดอายุการใช้งานของระบบ ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต
บริการตรวจเช็คระบบกันขโมย MAXWELL: https://www.maxwell.co.th/service-rate/
Q: สัญญาณกันขโมยดังเองบ่อยๆ เกิดจากอะไร?
A: สัญญาณกันขโมยดังเอง (False Alarm) อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เซ็นเซอร์สกปรก มีสิ่งกีดขวาง การติดตั้งที่ไม่เหมาะสม สัตว์เลี้ยง หรือความผิดพลาดในการใช้งาน ควรตรวจสอบสาเหตุและแก้ไขตามคำแนะนำในคู่มือ หรือปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ
Q: สามารถควบคุมระบบกันขโมยผ่านสมาร์ทโฟนได้หรือไม่?
A: ระบบกันขโมยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่สามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนได้ ทำให้คุณสามารถเปิด-ปิดระบบ ตรวจสอบสถานะ หรือรับการแจ้งเตือนได้จากทุกที่ทุกเวลาที่มีอินเทอร์เน็ต
การตรวจสอบระบบกันขโมยหลังติดตั้งเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับทรัพย์สินและคนที่คุณรัก แต่การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอต่างหากที่จะทำให้ระบบทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและมอบความอุ่นใจให้คุณได้อย่างแท้จริง การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หลังการติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบเซ็นเซอร์ ไซเรน การเชื่อมต่อ หรือแม้แต่การบำรุงรักษาตามกำหนด จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าระบบกันขโมยของคุณพร้อมที่จะปกป้องคุณจากภัยคุกคามต่างๆ ได้ตลอดเวลา
วิธีดูแลระบบกันขโมย ลด False Alarm เพื่อหาสาเหตุและแก้ไข
https://www.maxwell.co.th/how-to-maintain-home-alarm-system-reduce-false-alarms/
แนะนำบริการตรวจเช็คระบบกันขโมยจาก MAXWELL
โทร. 085-485-3501
แชต Line: @maxwellsecurity